วันพฤหัสบดี ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2562
เวลา 12.30 - 15.30 น.
➤ The Knowledge ความรู้ที่ได้รับ
อาจารย์ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอวิจัย ก่อนนำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการศึกษาให้กับผู้ปกครอง มีทั้งหมด 5 กลุ่ม ดังนี้
▶️ กลุ่มที่ 1 สมาชิก
1.นางสาววิภาพร จิตอำคะ
2.นำงสาวขนิษฐา สมานมิตร
3.นางสาววสุธิดา คชชา
4.นางสาวกิ่งแก้ว ทนนำ
5.นางสาววิจิตรา ปาคำ
3.นางสาววสุธิดา คชชา
4.นางสาวกิ่งแก้ว ทนนำ
5.นางสาววิจิตรา ปาคำ
นำเสนอวิจัยเรื่อง การส่งเสริมความเข้าใจภาษาของเด็กปฐมวัยโดยผู้ปกครองใช้ชุดกิจกรรม “เล่นกับ ลูกปลูกภาษา” อารีย์ คำสังฆะ หลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิตสาขาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ตุลาคม 2554
💗 วัตถุประสงค์การวิจัย
เพื่อศึกษาพัฒนาการทางด้านภาษาและเพื่อเปรียบเทียบความเข้าใจภาษา
ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมเล่นกับลูกปลูกภาษา
💗 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมความเข้าใจภาษาของเด็กปฐมวัยโดยผู้ปกครองและแนวทางสำหรับครูในการให้ความรู้ผู้ปกครอง
💗 ขอบเขตของการวิจัย
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ⇾ พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเด็กชายหญิงอายุ 4-5 ปีที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนสุเหร่าทรายกองดินแขวงแสนแสบ สังกัดกรุงเทพ ได้จากการสุ่มอย่างง่ายโดยจับฉลากมา1ห้องเรียน
💗 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ ⇾ ชุดกิจกรรมเล่นกับลูกปลูกปัญญา
ตัวแปรตาม ⇾ ความเข้าใจภาษา
💗 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ ⇾ ชุดกิจกรรมเล่นกับลูกปลูกปัญญา
ตัวแปรตาม ⇾ ความเข้าใจภาษา
💗 สมมติฐานการวิจัย
เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมด้วยชุดกิจกรรมเล่นกับลูกปลูกภาษาโดยผู้ปกครองมีความเข้าใจภาษาหลังทำกิจกรรมสูงกว่าก่อนทำกิจกรรม
เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมด้วยชุดกิจกรรมเล่นกับลูกปลูกภาษาโดยผู้ปกครองมีความเข้าใจภาษาหลังทำกิจกรรมสูงกว่าก่อนทำกิจกรรม
💗 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. ชุดกิจกรรมการเล่นกับลูกปลูกภาษา
2. แบบวัดความเข้าใจทางภาษาเด็กปฐมวัย
3. แบบวิเคราะห์ความเข้าใจภาษาเด็กปฐมวัย
💗 สรุปผลการวิจัย
1. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมส่งเสริมความเข้าใจภาษาโดยผู้ปกครองใช้ชุดกิจกรรมเล่นกับลูกปลูกภาษามีพัฒนาการความเข้าใจภาษาโดยรวมสูงขึ้นร้อยละ 53.5 72 ของความสามารถพื้นฐานเดิม
2. เด็กปฐมวัยมีความเข้าใจภาษาโดยรวมและจำแนกรายด้านคือการใช้คำอย่างมีจุดมุ่งหมายและการใช้ประโยคเพื่อสื่อความหมายสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .011. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมส่งเสริมความเข้าใจภาษาโดยผู้ปกครองใช้ชุดกิจกรรมเล่นกับลูกปลูกภาษามีพัฒนาการความเข้าใจภาษาโดยรวมสูงขึ้นร้อยละ 53.5 72 ของความสามารถพื้นฐานเดิม
ตัวอย่างชุดกิจกรรมเล่นกับลูกปลูกภาษา
1.นายปฏิภาณ จินดาดวง
2.
นางสาวทิพยวิมล นวลอ่อน
3.
นางสาวจีรนันท์ ไชยชาย
4.
นางสาวปิยธิดา ประเสริฐสังข์
5. นางสาวปริชดา นิราศรพจรัส
5. นางสาวปริชดา นิราศรพจรัส
นำเสนอวิจัยเรื่อง การพัฒนาโปรแกรมมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยาปีที่ทำวิจัย พ.ศ.2557
ผู้วิจัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์บุญไท เจริญผล นางสาวภัทราวรรณ จันทร์เนตร์ นางสาวภรภัทร นิยมชัย
💗 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย และเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
💗 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย และเพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดโปรแกรมพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอื่นๆ
💗 ขอบเขตของการวิจัย
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ⇾ ผู้ปกครอง และ เด็กปฐมวัย
อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปี่ที่
2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
2556ของโรงเรียนวัดมเหยงค์ อ.นครหลวง
จ.พระนครศรีอยุธยาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา
เขต 1 จำนวน 20 คน
💗 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ ⇾ โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
ตัวแปรตาม ⇾ นิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย ได้แก่ด้านความสนใจในการอ่านและด้านพฤติกรรมการอ่าน
ตัวแปรอิสระ ⇾ โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
ตัวแปรตาม ⇾ นิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย ได้แก่ด้านความสนใจในการอ่านและด้านพฤติกรรมการอ่าน
💗 สมมติฐานการวิจัย
เด็กปฐมวัยที่ใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัยมีการพัฒนานิสัยรักการอ่านสูงขึ้น
เด็กปฐมวัยที่ใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัยมีการพัฒนานิสัยรักการอ่านสูงขึ้น
💗 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1 โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
2 แบบวัดความรู้ความเข้าใจของผู้ปกครองในการพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
3 แบบสังเกตพฤติกรรมนิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
💗 สรุปผลการวิจัย
1.ผู้ปกครองที่ใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัยมีความรู้ความเข้าใจในการส่งเสริมเด็กปฐมวัยให้มีนิสัยรักการอ่านสูงขึ้นหลังการทดลอง
2.เด็กปฐมวัยที่ได้ใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัยมีการพัฒนานิสัยรักการอ่านสูงขึ้นหลังการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05
ตัวอย่างกิจกรรมที่ให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง
▶️ กลุ่มที่ 3 สมาชิก
1. นางสาวรัตนา พงษา
2.นางสาวสุชัญญา บุญญะบุตร
3.นางสาวกฤษณา กบขุนทด
4.นางสาวชนนิกานต์ วัฒนา
5.นางสาวประภัสสร แทนด้วง
6.นางสาวสุดารัตน์ อาสนามิ
นำเสนอวิจัยเรื่อง การพัฒนาโปรแกรมการศึกษาสำหรับผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กวัยอนุบาลด้วยรูปแบบการให้ประชาชนในชนบทมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา การศึกษาระดับ ปริญญาครุศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์
ปีที่ทำวิจัย 2540 ผู้วิจัย นางสาวเจนจิรา คงสุข
💗 วัตถุประสงค์การวิจัย
เพื่อพัฒนาโปรแกรมการศึกษาสำหรับผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาลด้วยรูปแบบการให้ประชาชนในชนบทมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
💗 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.ช่วยให้ผู้ปกครองเกิดความตระหนักเกี่ยวกับความสำคัญของปัญหาในการอบรมเลี้ยงดูเด็กที่ส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาล สามารถใช้ประโยชน์จากความรู้ที่ประมวลในการแก้ปัญหา รวมถึงสามารถใช้กระบวนการเรียนรู้และทักษะที่ได้รับจากการเข้าร่วมโปรแกรมมาประยุกต์ใช้ต่อการแก้ปัญหาด้านอื่นๆ
2.ช่วยกระตุ้นให้ผู้ปกครองได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กวัยอนุบาลให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของท้องถิ่นชนบทของตน
1.ช่วยให้ผู้ปกครองเกิดความตระหนักเกี่ยวกับความสำคัญของปัญหาในการอบรมเลี้ยงดูเด็กที่ส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาล สามารถใช้ประโยชน์จากความรู้ที่ประมวลในการแก้ปัญหา รวมถึงสามารถใช้กระบวนการเรียนรู้และทักษะที่ได้รับจากการเข้าร่วมโปรแกรมมาประยุกต์ใช้ต่อการแก้ปัญหาด้านอื่นๆ
2.ช่วยกระตุ้นให้ผู้ปกครองได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กวัยอนุบาลให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของท้องถิ่นชนบทของตน
💗 ขอบเขตของการวิจัย
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ⇾ ผู้ปกครองของเด็กวัยอนุบาล(3-6ปี)
ในบ้านหนองกก หมู่ที่4 ตำบลพัฒนา อำเภอพรพิน
จังหวัดนครศรีธรรมราช
ในปีพ.ศ.2540 จำนวน8คน ได้มาโดยคัดเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่ระบุไว้ในโปรแกรม
💗 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ ⇾ โปรแกรมการศึกษาสำหรับผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กอนุบาลด้วยรูปแบบการใช้ประชาชนในชนบทมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
ตัวแปรตาม ⇾ แบบแผนพฤติกรรมของผู้ปกครองในการส่งเสริพัฒนาการทางร่างกายของเด็กอนุบาล
ตัวแปรอิสระ ⇾ โปรแกรมการศึกษาสำหรับผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กอนุบาลด้วยรูปแบบการใช้ประชาชนในชนบทมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
ตัวแปรตาม ⇾ แบบแผนพฤติกรรมของผู้ปกครองในการส่งเสริพัฒนาการทางร่างกายของเด็กอนุบาล
💗 สมมติฐานการวิจัย
เป็นคำถามที่ใช้แทน
💗 สรุปผลการวิจัย
1.ผู้ปกครองมีการเปลี่ยนแปลงแบบแผนพฤติกรรมการส่งเสริมการรักษาสุขภาพในช่องปากและฟันของเด็กอนุบาล
ด้านการแปรงฟัน
จากพฤติกรรมการไม่ได้ติดตามการดูแลการแปรงฟันของเด็กหรือติดตามอย่างไม่สม่ำเสมอมาเป็นพฤติกรรมการดูแลการแปรงฟันของเด็กอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กในด้านการแปรงฟัน
2.ผู้ปกครองมีการเปลี่ยนแปลงแบบแผนพฤติกรรมการส่งเสริมการรักษาสุขภาพในช่องปากและฟันของเด็กวัยอนุบาลด้านการรับประทานอาหารมีประโยชน์จากพฤติกรรมปล่อยให้เด็กเลือกซื้ออาหารรับประทานเองตามใจชอบ
ซึ่งมักไม่มีคุณค่าของสารอาหาร มาเป็นพฤติกรรมดูแลรับประทานอาหารเด็กอย่างสม่ำเสมอด้วยการเลือกซื้ออาหารที่มีประโยชน์ให้เด็กรับประทาน
กำกับดูแลการเลือกซื้อและรับประทานอาหารอย่างใกล้ชิดรวมทั้งแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กในการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
▶️ กลุ่มที่ 4 สมาชิก
1.นางสาวรุ่งฤดี โสดา
2.นางสาววัชรา
ค้าสุกร
3.นางสาวเพ็ญประภา บุญมา
4.นางสาวจันจิรา เปลี่ยนเรืองศิลป์
5.นางสาวอรุณวดี ศรีจันดา
6.นางสาวธิดาพร สึกชัย
นำเสนอวิจัยเรื่อง การศึกษาผลของการให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองในการสอนความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย การศึกษาระดับ หลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปีที่ทำวิจัย 2533
ผู้วิจัย วรยา
กาญจนชาติ
💗 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพื่อเปรียบเทียบความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง
2 ½ -4 ปีบริบูรณ์
ในชนบทที่สอนโดยผู้ปกครองซึ่งคิดวิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กด้วยตัวเองหลังจากได้รับการศึกษาโดยคิดวิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กร่วมกับผู้วิจัยกับผู้ปกครองซึ่งเรียนรู้วิธีสอน
และการใช้สื่อในการสอนเด็กจากชุดการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
💗 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.ทำให้ทราบผลของความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่สอนโดยผู้ปกครองที่ได้รับการศึกษาที่แตกต่างกัน
2.เพื่อให้ผู้ปกครองเห็นความสำคัญของตนเองในการสอนลูกหลานให้เกิดพัฒนาการด้านต่างๆได้ด้วยตนเอง
💗 ขอบเขตของการวิจัย
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ⇾ ผู้ปกครองและเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 2 ½ -4 ปีบริบูรณ์
ในเขตพัฒนา อำเภอ บางเลน จังหวัดนครปฐม มีคุณสมบัติตามที่กำหนด ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (simple
Random)จำนวน25คู่ แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง2กลุ่ม
กลุ่มทดลองที่1 จำนวน14คู่ กลุ่มทดลองที่ 2 จำนวน11คู่
💗 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ ⇾ การให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองในการสอนเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง
2 1/2 - 4 ปีบริบูรณ์ ให้มีความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ 2 วิธี คือ
วิธีที่
1
ให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองโดยให้ผู้ปกครองคิดวิธีการสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กร่วมกับผู้วิจัย
วิธีที่
2
ให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองโดยให้ผู้ปกครองคิดวิธีการสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กจากชุดการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
ตัวแปรตาม ⇾ ได้แก่การพัฒนาด้านความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง
2 1/2 - 4 ปีบริบูรณ์
💗 สมมติฐานการวิจัย
ความสามารถในการสร้างความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง2½ -4 ปีบริบูรณ์ในชนบทที่สอนโดยผู้ปกครองที่ได้รับการศึกษาโดยวิธีที่ 1และ2แตกต่างกัน
💗 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1.ชุดการสอนเพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านความคิดรวบยอดทางศาสตร์
เรื่อง รูปวงกลม สีเหลี่ยม และสามเหลี่ยม
ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นสำหรับผู้ปกครองกลุ่มที่เรียนรู้วิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กจากชุดการสอน
2.แบบันทึกวิธีสอนและรายชื่อสื่อสำหรับผู้ปกครองกลุ่มที่คิดวิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กร่วมกับผู้วิจัย
เรื่อง รูปวงกลม สีเหลี่ยม และสามเหลี่ยม
ซึ่งผู้วิจัยเป็นผู้บันทึก หลังจากผู้ปกครองคิดวิธีสอนและสื่อที่ใช้ในการสอนเด็กร่วมกับผู้วิจัยแล้ว
3.แบบบันทึกปริมาณการใช้สื่อในการสอนเด็กสำหรับผู้ปกครอง
ซึ่งผู้วิจัยใช้บันทึกรายชื่อสื่อ และจำนวนสื่อ ที่ผู้ปกครองทั้ง 2
กลุ่มใช้สอนเด็ก เรื่อง ใหญ่ – เล็ก ยาว
– สั้น หนัก – เบา และ มาก –
น้อย
4.แบบทดสอบความคิดรวบยอดทางคณิตสาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง
2 ½ - 4 ปีบริบูรณ์ เรื่อง ใหญ่ – เล็ก
ยาว – สั้น หนัก – เบา และ มาก –
น้อย
💗 สรุปผลการวิจัย
ความสามารถในการสร้างความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง2 ½ -4 ปีบริบูรณ์ในชนบทที่สอนโดยผู้ปกครองที่ได้รับการศึกษาโดยคิดวิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กร่วมกับผู้วิจัยและเรียนรู้วิธีการสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กจากชุดการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
▶️ กลุ่มที่ 5 สมาชิก
1.
นางสาวชาณิศา หุ้ยทั่น
2. นางสาวอรอุมา ศรีท้วม
3.
นางสาวสุจิณณา พาพันธ์
4. นางสาวณัฐชา บุญทอง
5.
นางสาวณัฐธิดา ธรรมแท้
6. นางสาวปวีณา พันธ์กุล
นำเสนอวิจัยเรื่อง : การเสริมพื้นฐานทักษะทางคณิตศาสตร์ของ
เด็กปฐมวัยโดยผู้ปกครองผ่านชุดกิจกรรม“
สนุกกับลูกรัก
”
การศึกษาระดับปริญญาศึกษามหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒปีที่ทำวิจัย
2556 ผู้วิจัย บุษยมาศ ผึ้งหลวง
💗 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.เพื่อศึกษาทักษะทางคณิตศาสตร์
1.เพื่อศึกษาทักษะทางคณิตศาสตร์
2.เพื่อศึกษาทักษะการเปลี่ยนแปลงของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์
3.เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์
💗 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
เพื่อให้เด็กปฐมวัยที่ได้รับการส่งเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์โดยผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจ และมีพัฒนาการ 4 ด้าน คือ 1. ด้านการจัดหมวดหมู่ 2. ด้านการเปรียบเทียบ 3. ด้านการรู้ค่าจำนวน 1 -10
และ 4. ด้านการเรียงลำดับ
💗 ขอบเขตของการวิจัย
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ⇾ เด็กปฐมวัยชาย-หญิง
อายุ 4-5
ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับอนุบาลปี่ที่ 1
โรงเรียนวัดผึ่งแดด
แบบเจาะจง จำนวน 20
คน
💗 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ ⇾ ชุดกิจกรรม
“สนุกกับลูกรัก”
ตัวแปรตาม ⇾ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย
💗 สมมติฐานการวิจัย
หลังจากการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยผู้ปกครองผ่านชุดกิจกรรม“สนุกกับลูกรัก”
เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการทักษะทางพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โยรวมและจำแนกรายทักษะสูงขึ้นหลังจากการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยผู้ปกครองผ่านชุดกิจกรรม“สนุกกับลูกรัก”
💗 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
-
ชุดกิจกรรม“สนุกกับลูกรัก” จำนวน 8
ชุด
-
แบบทดสอบเชิงปฏิบัติทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย
💗 สรุปผลการวิจัย
เด็กปฐมวัยหลังได้รับการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยผู้ปกครองผ่านชุดกิจกรรมสนุกกับลูกรักมีการเปลี่ยนแปลงสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01
การส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนการทดลองมีคะแนนโดยรวมอยู่ในระดับควรปรับปรุง(ค่าเฉลี่ย=12.90)และหลังทดลองที่ได้รับการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยผู้ปกครองผ่านชุดกิจกรรมลูกรักมีคะแนนโดยรวมอยู่ในระดับดี(ค่าเฉลี่ย =30.35)
การส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนการทดลองมีคะแนนโดยรวมอยู่ในระดับควรปรับปรุง(ค่าเฉลี่ย=12.90)และหลังทดลองที่ได้รับการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยผู้ปกครองผ่านชุดกิจกรรมลูกรักมีคะแนนโดยรวมอยู่ในระดับดี(ค่าเฉลี่ย =30.35)
ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงสูงขึ้น(ค่าเฉลี่ย=17.45)เมื่อพิจารณาผลการทดลองจำแนกรายทักษะพบว่าหลังจากเด็กปฐมวัยมีพัฒนาการทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์
คือ ด้านการจัดหมวดหมู่ด้านการเปรียบเทียบ การรู้ค่าจำนวน1-10และการเรียงลำดับสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01
การจัดหมวดหมู่ เด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์อยู่ระดับความปรับปรุง(ค่าเฉลี่ย=3.50)แต่หลังจากการทดลองเด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์อยู่ในระดับดี
(ค่าเฉลี่ย=7.80)
การเปรียบเทียบ เด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์อยู่ในระดับปรับปรุง(ค่าเฉลี่ย=3.35)แต่หลังจากการทดลองเด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์อยู่ในระดับดี(ค่าเฉลี่ย=7.65)
การรู้ค่าจำนวน1-10 เด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์อยู่ระดับความปรับปรุง(ค่าเฉลี่ย=3.35)แต่หลังจากการทดลองเด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์อยู่ในระดับดี(ค่าเฉลี่ย =7.55)
การเรียงลำดับ เด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์อยู่ระดับความปรับปรุง(ค่าเฉลี่ย=2.70)แต่หลังจากการทดลองเด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์อยู่ในระดับดี(ค่าเฉลี่ย=7.35)
ตัวอย่างกิจกรรมที่ให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง
➤ Assessment การประเมิน
Self-assessment (ตนเอง)
เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจฟังที่เพื่อนนำเสนอ เตรียมงานออกไปนำเสนอ
Evalaute frieads (เพื่อน)
มีการเตรียมความพร้อมก่อนนำเสนอ ทำเนื้อหาได้ดี น่าฟัง
Evalaute teacher (อาจารย์)
อาจารย์ได้ดูและเสนอแนะสิ่งต่างๆให้ในการนำเสนอ หรือการนำตัวอย่างกิจกรรมไปใช้ประโยชน์ และได้มอบหมายงานให้ ทำแผ่นพับให้ความรู้ผู้ปกครอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น